Tag Archives: นํ้ายาเเอร์

น้ำมันคอมเพรสเซอร์ หรือ น้ำมันคอมแอร์ มีความสำคัญอย่างไร

น้ำมันคอมเพรสเซอร์ หรือ น้ำมันคอมแอร์ มีความสำคัญอย่างไร ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีภูมิอากาศที่ร้อน การใช้เครื่องปรับอากาศจึงเป็นส่วนสำคัญในการดำรงชีวิตของคนทั่วไป ในเครื่องปรับอากาศ จึงต้องอาศัย สารทำความเย็น หรือ ที่เรียกว่า น้ำยาแอร์ มีส่วนช่วยในการทำงานของระบบปรับอากาศ หลายคน คงคุ้นเคยกับคำว่า น้ำยาแอร์เป็นอย่างดี แต่หากบอกว่า น้ำมันคอมเพรสเซอร์ หรือ น้ำมันคอมแอร์ จะมีใครบ้างที่รู้จัก และเคยเห็นการเติมน้ำมันคอมแอร์ เลยด้วยซ้ำ ยิ่งหากใครเป็นคนที่รักรถยนต์จะต้องมีคำถามต่างๆ ในเรื่องของ น้ำมันคอมเพรสเซอร์ หรือ น้ำมันคอมแอร์ อยู่ในใจแน่นอน หากเราได้มีความรู้ในเรื่องคอมแอร์ ไว้บ้าง ก็สามารถทำให้เราเข้าใจระบบได้มากขึ้น น้ำมันคอมเพรสเซอร์ หรือ น้ำมันคอมแอร์ คือ น้ำมันหล่อลื่นที่ช่วยให้คอมเพรสเซอร์แอร์ ทำงานได้เป็นอย่างดี โดยจะมีหน้าที่เพิ่มกำลังอัดและระบายความร้อนในคอมเพรสเซอร์ ซึ่งจะถูกจำแนกตามชนิดของน้ำยาแอร์เป็นหลัก หากน้ำยาแอร์นั้นใช้ของชนิดใดก็ต้องใช้น้ำมันคอมเพรสเซอร์แอร์เป็นชนิดเดียวกัน เพราะด้วยระบบแอร์นั้น น้ำมันคอมเพรสเซอร์จะต้องมีผสมเทกับน้ำยาแอร์ จึงจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นได้ เรื่องที่ต้องรู้เกี่ยวกับน้ำมันคอมเพรสเซอร์ หรือ น้ำมันคอมแอร์ ที่จะกล่าว มีดังต่อไปนี้ 1. น้ำมันคอมแอร์ เป็นระบบการทำงานปิด ซึ่งการทำงานของคอมแอร์จะเป็นการผสมกันกับน้ำยาแอร์อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเติมน้ำมันคอมแอร์บ่อยเหมือนเติมน้ำยาแอร์ เพราะจะผสมกันอยู่ในนั้นแล้ว

เครื่องปรับอากาศที่ใช้น้ำยา R22 หรือ R32 ดีกว่ากัน

เครื่องปรับอากาศที่ใช้น้ำยา R22 หรือ R32 ดีกว่ากัน เป็นที่ทราบกันดีว่า โควต้าการนำเข้าน้ำยาแอร์ หรือ สารทำความเย็น R-22 นั้น จะลดลงทุก ๆ ปี ตามสนธิสัญญามอนทรีออล ( Date End 2030 ) ผู้ผลิตจึงหันมาใช้สารทดแทนอื่น ๆ เช่น R-32 R-410A กัน เพื่อคืนชั้นบรรยากาศโลก หรือ โอโซน ตามสนธิสัญญามอนทรีออล สารทำความเย็น R-32 คืออะไร R-32 คือ สารทำความเย็น เจเนอเรชั่นใหม่เพื่อการประหยัดพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อม สารทำความเย็นชนิดใหม่นี้มีชื่อเรียกทั่ว ๆ ไปว่า R-32 ซึ่งมีสูตรทางเคมีว่า CH2F2 คุณสมบัติทั่วไปของสารทำความเย็น R-32 ชื่อสาร R-32 สารประกอบ เดียว แรงดันมาตรฐานที่กำหนด RA: 4.17 MPa G PA:

น้ำมันคอมเพรสเซอร์มีความสำคัญในระบบทำความเย็นอย่างไร

น้ำมันคอมเพรสเซอร์มีความสำคัญในระบบทำความเย็นอย่างไร ในระบบทำความเย็น นอกจากอุปกรณ์หลักในการทำความเย็นอย่างเช่น คอมเพรสเซอร์ สารทำความเย็น หรือ น้ำยาแอร์แล้ว ยังมีน้ำมันหล่อลื่น หรือที่รู้จักกันในชื่อ “น้ำมันคอมแอร์” หรือ “น้ำมันคอมเพรสเซอร์” ที่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้คอมเพรสเซอร์ในระบบทำความเย็น หน้าที่หลักของน้ำมันคอมเพรสเซอร์ หล่อลื่นส่วนประกอบทั้งหมดของคอมเพรสเซอร์ เพื่อป้องกันการเสื่อมสภาพ หล่อเย็นและขจัดความร้อนที่เกิดขึ้นภายในขณะระบบทำงาน ที่ส่งผลต่อการทำงานและอายุการใช้งานของระบบ สารหล่อลื่นที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการ หรือไม่ตรงตามมาตรฐานว่าด้วยเรื่องของคุณภาพ จะทำให้การหล่อลื่นและการระบายความร้อนไม่เพียงพอ ส่งผลให้คอมเพรสเซอร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพน้อยกว่าที่ควรจะเป็น จนถึงสร้างความเสียหายในการหยุดทำงานของระบบได้ในที่สุด ควรเปลี่ยนน้ำมันคอมเพรสเซอร์เมื่อไหร่ การบำรุงรักษาระบบทำความเย็นด้วยการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันคอมแอร์เป็นประจำถือว่าเป็นสิ่งสำคัญในการยืดอายุการใช้งานประเภทของคอมเพรสเซอร์ และความถี่ในการใช้งานของระบบทำความเย็น เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อความถี่ในการเปลี่ยนน้ำมันคอมเพรสเซอร์ โดยสามารถดูได้จากคู่มือข้อมูลจำเพาะของผู้ผลิต นอกเหนือจากงานบำรุงรักษาเชิงป้องกัน อาจะมีบางสถานการณ์ที่จำเป็น เช่น ระหว่างงานซ่อมแซมระบบ เปลี่ยนชิ้นส่วน เปลี่ยนสารทำความเย็นเป็นต้น ขั้นตอนการเปลี่ยนน้ำมันคอมเพรสเซอร์ ตรวจสอบประเภทของน้ำมันหล่อลื่น กำหนดประเภทของสารหล่อลื่นตามระบบทำความเย็น ผู้ผลิตคอมเพรสเซอร์มักจะระบุประเภทของสารหล่อลื่นและขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น สารทำความเย็นที่ใช้ การออกแบบคอมเพรสเซอร์ และความต้องการของระบบนั้นๆตัวอย่างน้ำมันหล่อลื่นที่ใช้ในระบบทำความ น้ำมันแร่ (MO) น้ำมันแร่เป็นน้ำมันหล่อลื่นแบบดั้งเดิมที่ใช้กับสารทำความเย็น CFC และ HCFC เข้ากันได้กับสารทำความเย็นรุ่นเก่า Polyol Ester (POE) นิยมใช้กับสารทำความเย็น HFC เช่น

เหตุผลที่เครื่องปรับอากาศหันมาใช้สารทำความเย็น/น้ำยาแอร์ R32

เหตุผลที่เครื่องปรับอากาศหันมาใช้สารทำความเย็น/น้ำยาแอร์ R32 ตามข้อตกลงในพิธีมอบสารทรีออลปี 1987 ที่ให้ความสำคัญกับการลดการทำลายชั้นโอโซน ทั่วโลกจึงเปลี่ยนจากการใช้สารทำความเย็น R22 มาเป็น R410A ซึ่งแม้ว่าจะลดผลกระทบในการทำลายชั้นโอโซนได้เป็นอย่างดี แต่ยังก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนสูง จึงมีกระแสการเปลี่ยนแปลงสารทำความเย็นที่ให้ความสำคัญต่อการรักษาสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้น ทั่วโลกจึงหันมาใช้สารทำความเย็น R32 เพิ่มมากขึ้น ในเครื่องปรับอากาศในปัจจุบัน ซึ่งสารทำความเย็น R32 นี้ มีประสิทธิภาพการทำความเย็นสูงที่มีคุณสมบัติที่นอกจากไม่ทำลายชั้นโอโซนแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อภาวะโลกร้อนน้อยกว่าสารทำความเย็นในปัจจุบัน R410A ถึง 3 เท่า และยังให้ประสิทธิภาพการทำความเย็นมากกว่า R22 ถึง 60% นั้นเอง นี่เองที่เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เครื่องปรับอากาศในปัจจุบันใช้สารทำความเย็น R32 มากขึ้น ผสานกับระบบอินเวอร์เตอร์ที่ช่วยในเรื่องการประหยัดพลังงานได้เป็นอย่างดี               ส่วนประกอบของเครื่องปรับอากาศอินเวอร์เตอร์ในปัจจุบันที่ใช้สาร R32 มีอะไรบ้าง เครื่องปรับอากาศสำหรับบ้านเรือน จะประกอบด้วยชิ้นส่วนต่าง ๆ ดังนี้ แผงทำความเย็น Cooling Coll ทำหน้าที่ รับความร้อนจากอากาศภายในห้อง คอมเพรสเซอร์ Compressor ทำหน้าที่เพิ่มความดันสารทำความเย็น แผงท่อระบายความร้อน Condensing Coll ทำหน้าที่ ระบายความร้อนทิ้งสู่บรรยากาศภายนอก

การใช้สารทำความเย็นในการทำงานให้ปลอดภัย

การใช้สารทำความเย็นในการทำงานให้ปลอดภัย ในเรื่องของสารทำความเย็นนอกจากให้ประโยชน์มากมายในด้านสร้างความเย็นและด้านพลังงานอื่นๆแล้ว สารทำความเย็นแต่ละประเภทก็อาจจะก่อให้เกิดอันตรายมากมายตามมาได้ รวมถึงความเป็นพิษ ความสามารถในการติดไฟและระบบทางเดินหายใจ และอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมอันเกิดจาการรั่วไหลของสารทำความเย็น วันนี้เราจะมาพูดถึงการปฏิบัติเพื่อให้บุคลากรของเราสามารถทำงานร่วมกับสารทำความเย็นได้อย่างปลอดภัย อันตรายจากสารทำความเย็นในการปฏิบัติงานแบ่งออกเป็น 3 ส่วน อันตรายที่เกิดจากสารทำความเย็นโดยตรง  อันตรายที่เกิดจาการใช้ไฟฟ้า และอันตรายที่เกิดจากถังความดัน               ข้อปฏิบัติในการทำงานกับสารทำความเย็นให้ปลอดภัยสูงสุดมีดังนี้ อันตรายจากสารทำความเย็นโดยตรง ในสถานที่ ที่มีการใช้สารทำความเย็นควรมีอากาศถ่ายเทได้สะดวก เพื่อป้องกันในกรณีที่สารทำความเย็นเกิดการรั่วไหลออกจากระบบ และเข้ามาแทนที่ในอากาศ เนื่องจากคุณสมบัติที่หนักกว่าอากาศ ให้ปล่อยสารทำความเย็นออกจากระบบให้หมด และใช้แก๊สไนโตรเจนผ่านก่อนการใช้แก๊สเชื่อมหรือตัดอุปกรณ์ในระบบ ห้ามเชื่อมอุดรอยรั่วในขณะที่ยังมีสารทำความเย็นอยู่ เนื่องจากเมื่อสารทำความเย็นได้รับความร้อนจะมีการขยายตัวสูงมากอาจจะทำให้เกิดการระเบิดขึ้นได้ ถึงแม้สารทำความเย็นจะไม่มีสี ไม่มีกลิ่นแต่ก็สามารถก่ออันตรายต่อร่างกายได้เช่นกัน ควรสวมถุงมือ แว่นตา ในขณะที่ปฎิบัติงานเนื่องจากสารทำความเย็นโดยทั่วไปจะมีจุดเดือดต่ำมาก ถ้าหากได้สัมผัสกับผิวหนังอาจจะก่อให้เกิดการบาดเจ็บจากสารทำความเย็นที่เย็นจัด อันตรายที่เกิดจากการใช้ไฟฟ้า ถ้าตรวจพบว่าอุปกรณ์หรือเครื่องใช้ไฟฟ้ามีการรั่วจะต้องหยุดปฏิบัติงานทันที่ ไม่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับเครื่องมือหรืออุปกรณ์ไฟฟ้า ขณะที่ร่างกาย เสื้อผ้าหรือรองเท้าที่สวมใส่เปียกชื้น ต้องต่อสายดินที่เครื่องมือหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดเพื่อป้องกันอันตรายจากไฟรั่ว นอกเหนือจากนี้การตรวจสอบระบบความเย็นในโรงงานของคุณอย่างสม่ำเสมอ ก็ยังเป็นอีกตัวช่วยในการป้องกันอันตรายจากการทำงาน รวมถึงการเลือกใช้สารทำความเย็นที่ได้คุณภาพ อัตราส่วนผสมที่เป็นมาตรฐานและได้รับสิทธิบัตรที่ถูกต้อง อันตรายจากถังความดัน และนั่นรวมถึงถังบรรจุสารทำความเย็น ถังแก๊สออกซิเจนสำหรับใช้ในงานเชื่อม ถังไนโตรเจนสำหรับตรวจสอบรอยรั่วหรือทำความสะอาดระบบ  ถังแรงดันห้ามบรรจุเกิน 80% ของปริมาตรถัง และอย่านำถังบรรจุสารทำความเย็นไปตั้งไว้กลางแดดจัด เพราะจะทำให้อุณภูมิที่สูงขึ้นเกิดความดันภายในถังสูงมากกว่าเดิมอาจจะทำให้เกิดระเบิดได้ ถังบรรจุสารทำความเย็นปกติจะติดตั้งลิ้นเพื่อระบายความดัน ไว้ที่ด้านบนของถัง (Relief valve) เพื่อทำหน้าที่ระบายความดันที่เพิ่มขึ้นปกติจะตั้งไว้ที่

ความปลอดภัยในการใช้งานห้องเย็น

ความปลอดภัยในการใช้งานห้องเย็น สำหรับการใช้งานห้องเย็นนั้นกลายเป็นส่วนหนึ่งของหลายๆธุรกิจ ทั้งผู้ผลิตรายใหญ่ ผู้ประกอบการรายย่อย เนื่องด้วยประเทศไทยมีอุณหภูมิที่ร้อน การผลิต การจัดเก็บจึงต้องอาศัยห้องที่สามารถกำหนดอุณหภูมิให้เหมาะสมกับวัตถุดิบ สินค้านั้นๆซึ่งอุณหภูมิส่วนใหญ่จึงเป็นอุณหภูมิที่ติดลบ จึงอาจเกิดอันตรายกับผู้ปฏิบัติงานได้ รวมถึงอันตรายอื่นๆที่อาจเกิดขึ้น เช่นการรั่วไหลของสารทำความเย็น ในบทความนี้จึงรวบรวมถึงแนวทางปฏิบัติต่างๆเพื่อการใช้งานห้องเย็นให้ปลอดภัย อันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อทำงานในห้องเย็น มีดังนี้ อุบัติเหตุเนื่องจากคนถูกขังติดอยู่ในห้องเย็น – ความเย็นทำให้เกิดอันตรายต่อเนื้อเยื่อ (Cold Burn) คือ เกิดผลึกน้ำแข็งในเซลล์ของเนื้อเยื่อที่ถูกความเย็น มีการทำลายระบบไหลเวียนในหลอดเลือดฝอย ซึ่งการอุดตันที่เกิดขึ้นจากระบบไหลเวียนเลือดนี้ไม่อาจกลับคืนดีได้ดังเดิมแม้เนื้อเยื่อจะได้รับความอุ่นเป็นปกติแล้วก็ตาม – ความเย็นทำให้อุณหภูมิร่างกายลดต่ำลง (Hypothermia) การที่อุณหภูมิร่างกายลดลงนั้นจะทำให้การทำงานของสมองช้าลง การตัดสินใจช้า หรือหมดความรู้สึก และเสียชีวิตในที่สุด อาการเตือนในระยะแรกๆ จะมีการเจ็บปวดที่ปลายนิ้วมือ นิ้วเท้า  แสดงถึงอันตรายของความเย็น ในระหว่างที่มีการสัมผัสกับความเย็น เคยพบว่าบางโรงงานมีคนที่เกิดอาการเจ็บปลายนิ้ว แต่ไม่เคยรู้เลย   และเมื่อเกิดการสั่นอย่างรุนแรงจะเกิดขึ้นเมื่ออุณหภูมิในร่างกายลดลงถึง 35◦C ถือได้ว่าบอกอันตรายที่จะเกิดขึ้นจึงควรให้หยุดการสัมผัสความเย็นทันที ​มาตรการป้องกันไม่ให้มีผู้ปฏิบัติงานหรือบุคคลอื่นๆถูกขังติดอยู่ในห้องเย็น -เฉพาะผู้ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นที่เข้าไปภายในห้องเย็นได้ -มีป้าย ห้ามผู้ไม่ได้รับอนุญาตเข้าไปข้างใน ติดเตือนอยู่หน้าประตูทางเข้าห้องเย็น -มีทางออกฉุกเฉินอย่างน้อย1ทาง   มีป้ายเตือนบอกทางในจํานวนที่เพียงพอ และไม่มีวัตถุใดๆกีดขวางทางออกฉุกเฉิน -มีสัญญาณเตือนภัยสําหรับให้ผู้ที่ติดในห้องเย็นใช้แจ้งให้ผู้อยู่ข้างนอกทราบว่ามีคนติดอยู่ในห้องเย็น ระบบควรทํางานโดยมีแบตเตอรี่สํารอง มีป้ายบอกและติดตั้งสัญญาณเตือนในตําแหน่งที่เหมาะสม -มีไฟฉุกเฉิน ที่ทํางานด้วยระบบแบตเตอรี่สํารอง -มีการบํารุงรักษาและทดสอบอุปกรณ์ระบบความปลอดภัย -ก่อนที่จะล๊อกประตูต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียดทุกครั้ง  

วิธีการเติมน้ำยาแอร์ด้วยถังแบบใช้แล้วทิ้ง

วิธีการเติมน้ำยาแอร์ด้วยถังแบบใช้แล้วทิ้ง ในปัจจุบันนี้การใช้ชีวิตประจำวันของแต่ละคนจะต้องเกี่ยวข้องกับเครื่องปรับอากาศแบบที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องด้วยอากาศที่ร้อนในประเทศไทย จึงทำให้ต้องมีเครื่องปรับอากาศเสมอไม่ว่าจะที่ทำงาน บ้าน อาคาร ห้างสรรพสินค้า หรือแม้กระทั่งในห้องน้ำบางที่ มันสามารถช่วยได้มากทีเดียว ซึ่งเราสามารถตั้งค่าอุณภูมิได้ตามความต้องการได้อย่างสะดวกสบาย แต่อย่างไรก็ตาม เครื่องปรับอากาศก็ต้องมีดูแลและบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อที่จะได้มีประสิทธิภาพการใช้งานได้เต็มที่ และยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้อีกด้วย การเติมน้ำยาแอร์ในเครื่องปรับอากาศก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญในการซ่อมบำรุง จะต้องเติมเมื่อมีปริมาณน้ำยาแอร์ที่ลดลง สาเหตุมักจะเกิดจากการเสียหายภายในหรือเกิดจากการรั่วซึ่มของท่อแอร์ จะเกิดขึ้นเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับการใช้งาน เนื่องจากปกติแล้วจะไม่ค่อยมีปัญหาและจะใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าสารทำความเย็นจะระเหยไปหมด การเติมน้ำยาแอร์เป็นการเพิ่มสารทำความเย็นให้กับเครื่องปรับอากาศ ในที่นี้เราจะพูดถึงการเติมน้ำยาแอร์ด้วยถังแบบใช้แล้วทิ้งมีดังนี้ การเติมแบบไม่คว่ำถัง ในการเติมน้ำยาแอร์แบบปกติไม่คว่ำถัง เราสามารถเติมได้ในส่วนของน้ำยา R22 และ R32 เท่านั้น เพราะเป็นน้ำยาที่มีส่วนผสมตัวเดียว จึงไม่แนะนำให้เติมแบบคว่ำถัง เพราะอาจจะทำให้คอมเพรสเซอร์เสียหายได้ เพราะเครื่องปรับอากาศอาจจะไม่ได้รองรับการเติมน้ำยาที่ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร การเติมแบบคว่ำถังเติม ในการเติมน้ำยาแอร์แบบคว่ำถังเติม ส่วนมากจะใช้กับน้ำยาแอร์ R410A   สาเหตุที่ต้องคว่ำถังเติม เพราะน้ำยาแอร์ R410A มีส่วนผสมของน้ำยาอยู่ 2 ชนิด (R32 = 50% และ R125 = 50% ) ถ้าเติมแบบปกติไม่คว่ำถังอาจจะทำให้ส่วนผสมของทั้ง 2 ชนิดไม่ได้สัดส่วนตามที่ผู้ผลิตกำหนด และจะทำให้เครื่องปรับอากาศเย็นหรือไม่เย็นก็ได้ หากเราเติมสารทำความเย็นเข้าไปตามที่ผู้ผลิตกำหนด

สารทำความเย็นที่ใช้ในตู้เย็นมีอะไรบ้าง

สารทำความเย็นที่ใช้ในตู้เย็นมีอะไรบ้าง สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ทุกๆครัวเรือนต้องมีและที่เราใช้กันอยู่เป็นประจำ นั่นก็คือ ตู้เย็น ซึ่งใช้ในการเก็บรักษาอาหาร รวมทั้งแช่เครื่องดื่ม เนื้อสัตว์และสิ่งของต่างๆที่จำเป็น  ยิ่งประเทศไทยเป็นเมืองร้อน การได้เปิดตู้เย็นแล้วดื่มน้ำเย็นๆก็ทำให้ผ่อนคลาย สดชื่นและชื่นใจ ซึ่งตู้เย็นแต่ละชนิดแต่ละยี่ห้อก็มีการผลิตและใช้วัสดุอุปกรณ์ที่แตกต่างกันไป  แต่สิ่งหลักๆที่สำคัญในการทำความเย็นในตู้เย็น นั่นก็คือ น้ำยาแอร์ น้ำยาแอร์ในตู้เย็นบางชนิดก็ถูกยกเลิกการผลิตและไม่ได้ใช้งานแล้ว และถูกทดแทนพัฒนาขึ้นด้วยน้ำยาแอร์ตัวใหม่เพื่อช่วยลดสภาวะโลกร้อน ลดปรากฎการณ์เรือนกระจก  น้ำยาแอร์สำหรับตู้เย็นตัวไหนที่เคยใช้ในอดีต และน้ำยาแอร์ตัวไหนที่กำลังใช้ในปัจจุบัน ออกแบ่งได้ดังนี้ R12 น้ำยาแอร์รุ่นเก่าซึ่งในปัจจุบันพบเจอน้อย เลิกผลิตไปแล้วและไม่มีการนำเข้ามาในประเทศไทย   เป็นสารที่มีแรงดันต่ำ ใช้ได้ดีกับน้ำมันหล่อลื่นทุกสภาวะ ถ่ายเทความร้อนได้ดี ในอดีตเป็นที่นิยมใช้กันมาก มีความปลอดภัยไม่มีสีไม่ติดไฟ แต่สารชนิดนี้มีค่าที่ทำให้เกิดการทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนที่สูง R134a น้ำยาแอร์ตู้เย็นที่นิยมใช้กันมากในปัจจุบัน เป็นสารที่ถูกสร้างขึ้นมาทดแทนน้ำยาแอร์ R12 มีแรงดันสูง สามารถดูดความชื้นได้ดี ไม่มีสี ไม่มีกลิ่นและไม่ติดไฟ อีกทั้งยังไม่ทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนอีกด้วย สามารถหาซื้อได้ง่าย ราคาไม่สูงมาก การใช้งานก็ไม่ยุ่งยาก เพราะเป็นสารประกอบเดี่ยวที่สามารถเติมได้เลยหากน้ำยาแอร์ในระบบขาด แต่น้ำยาแอร์ตัวนี้ถือว่ายังมีค่าทำให้เกิดสภาวะเรือนกระจกที่สูงอยู่ R600 น้ำยาแอร์รุ่นใหม่ ในตู้เย็นบางยี่ห้อหันมาใช้กันมาก   เป็นสารที่มาทดแทนน้ำยาแอร์ R134a ซึ่ง R600ไม่ทำลายชั้นบรรยากาศและลดสภาวะเรือนกระจกได้ดีกว่า อีกทั้งปริมาณการใช้หากเทียบกับR134aแล้ว จะใช้น้อยกว่ามาก แต่ในสิ่งที่สำคัญของสารชนิดนี้คือ เป็นสารที่มีแรงดันสูง ติดไฟได้ง่าย

การเปิด-ปิดแอร์รถยนต์ที่ถูกวิธีและการดูแลรักษาแอร์รถยนต์เบื้องต้น

การเปิด-ปิดแอร์รถยนต์ที่ถูกวิธีและการดูแลรักษาแอร์รถยนต์เบื้องต้น ประเทศไทยเราเป็นเมืองร้อน ทุกวันนี้หลายคนมักเลือกเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว เพื่อความคล่องตัวในการเดินทางและด้วยเรื่องสภาพอากาศค่อนข้างร้อน แอร์รถยนต์จึงเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับรถยนต์ทุกคัน และมีผลต่อระบบหายใจของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร เนื่องจากต้องสูดดมอากาศที่ไหลเวียนผ่านระบบแอร์รถยนต์อยู่ตลอดเวลาเมื่อเราอยู่ในรถยนต์ไม่มีใครรู้เลยว่า อาจจะเต็มไปด้วย เชื้อโรค ก็เป็นไปได้ วันนี้เราจึงขอนำเสนอการเปิดใช้แอร์รถยนต์ที่ถูกต้องให้ปลอดภัยและยืดอายุการใช้งานของแอร์รถยนต์ให้อยู่กับเราไปได้นานๆ ดังนี้ 1.ก่อนสตาร์ทเครื่องยนต์ทุกครั้ง ควรปิดสวิตซ์แอร์(A/C) เพื่อไม่ให้คอมเพรสเซอร์เป็นตัวฉุดกำลังขณะสตาร์ท เมื่อสตาร์ทและเครื่องวอร์มสักพักแล้วค่อยเปิดสวิตซ์พัดลม โดยใช้ความเร็วพัดลมสูงก่อน เพื่อเป็นการไล่ความร้อนในระบบแอร์รถยนต์ แล้วค่อยเปิดสวิตซ์แอร์ (A/C) การปิดแอร์รถยนต์ที่ถูกต้อง ควรปิดสวิตซ์แอร์ (A/C)ก่อนจะถึงจุดหมายปลายทางก่อน ประมาณ 5-10 นาที เพื่อลดการทำงานของคอมเพรสเซอร์และไล่ความชื้นออกจากคอยล์เย็น ไม่ให้สะสมจนเกิดเชื้อแบคทีเรีย อันเป็นสาเหตุของกลิ่นอับ จากนั้นจึงปิดพัดลมแล้วดับเครื่องยนต์ ควรตั้งอุณหภูมิของแอร์ให้เหมาะสมกับห้องโดยสาร และไม่ควรตั้งให้เย็นจนเกินไป เพื่อไม่ให้คอมเพรสเซอร์ต้องทำงานอยู่ตลอดเวลา เพราะจะทำให้คอมเพรสเซอร์แอร์เสื่อมสภาพก่อนเวลาอันควร แนะนำให้ตั้งอุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 25 องศา เป็นค่ามาตรฐานจะดีที่สุด หลีกเลี่ยงการใช้น้ำหอมรถยนต์ สเปรย์ปรับอากาศ เนื่องจากการจะส่งผลต่อระบบการทำงานของคอยล์เย็นโดยเราไม่รู้ตัว ส่วนใหญ่มักจะมีสารระเหยที่ส่งผลกระทบต่อระบบแอร์ โดยไอระเหยของสารเคมีในสเปรย์ปรับอากาศจะทำปฏิกิริยา ทำให้เกิดฝุ่นไปจับตัวที่คอยล์เย็น จะส่งผลให้คอมเพรสเซอร์ทำงานหนักขึ้น การถ่ายเทความร้อนก็จะลดลงทำให้ประสิทธิภาพในการทำความเย็นของระบบแอร์ก็จะลดลงไปด้วย ตรวจเช็คแผ่นกรองอากาศแอร์ให้สม่ำเสมอ สามารถถอดออกมาล้างทำความสะอาดได้เอง และถ้าปล่อยให้แผ่นกรองอากาศสกปรกมาก จะทำให้ฝุ่นไปอุดตันได้ สาเหตุนี้ก็มีส่วนทำให้ระบบแอร์ต้องทำงานหนักมากขึ้น ไม่ควรมองข้ามเช่นกัน แนะนำให้ล้างตู้แอร์ ปีละ 2

หลักการทำงานของระบบแอร์รถยนต์

หลักการทำงานของระบบแอร์รถยนต์ ปัจจุบัน รถยนต์เข้ามามีบทบาทส่วนสำคัญในการดำรงชีวิตประจำวันของคนทั่วไป ช่วยทำให้การเดินทางสะดวกสบายมากขึ้น เพราะด้วยอากาศของเมืองไทยบ้านเราเป็นเมืองร้อน แอร์รถยนต์ จึงเป็นส่วนสำคัญทำให้อากาศภายในรถยนต์เกิดความเย็นสบาย ทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้ เราผู้ใช้รถยนต์ ควรรู้หลักการทำงานของระบบแอร์รถยนต์บ้าง ว่าในระบบมีอะไรตัวไหน ทำหน้าที่อย่างไร เรามาทำความรู้จักดังนี้ หลักการทำงานของระบบแอร์รถยนต์  เป็นระบบทำความเย็นแบบอัดไอหรือก๊าซ โดยที่คอมเพรสเซอร์ (COMPRESSOR) จะทำหน้าที่ดูดสารทำความเย็นจากอีวาโปเรเตอร์ (EVAPORATOR) สารทำความเย็น ในขณะนั้นยังมีสถานะเป็นแก๊สและคอมเพรสเซอร์ ยังทำหน้าที่อัดสารทำความเย็นออกไปที่คอนเดนเซอร์ (CONDENSER) ทำให้สารทำความเย็นมีอุณหภูมิและความดันเพิ่มสูงขึ้น เมื่อสารทำความเย็นไหลผ่านคอนเดนเซอร์จะทำให้อุณหภูมิลดต่ำลง จากนั้นสารทำความเย็นจะไหลต่อไปยัง รีซีฟเวอร์/ดรายเออร์ (RECEIVER/DRYER) เพื่อกรองสิ่งสกปรกและความชื้นที่ปนเปื้อนในสารทำความเย็นไหลไปที่ แอ็คเพนชั่นวาล์ว (EXPANSION VALVE) แล้วฉีดเป็นฝอยละอองเข้าไปใน อีวาโปเรเตอร์ ทำให้สารทำความเย็นมีความดันที่ต่ำและดูดความร้อนจากภายนอก เพื่อให้ได้สถานะที่กลายเป็นแก๊ส ทำให้อุณหภูมิภายนอกลดลง หลังจากนั้นสารทำความเย็นที่เป็นแก๊ส ก็จะถูกดูดเข้าไปในคอมเพรสเซอร์ เพื่อเริ่มต้นการทำงานใหม่ วนซ้ำไปเรื่อยๆ ส่วนประกอบของระบบแอร์รถยนต์ มีดังนี้ คอมเพรสเซอร์ (COMPRESSOR) ที่ใช้ในเครื่องปรับอากาศติดรถยนต์ จะเป็นแบบเปิด และจะติดกับเครื่องยนต์ โดยใช้กำลังของเครื่องยนต์มาหมุนให้คอมเพรสเซอร์ทำงาน เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่สูบฉีดสารทำความเย็นให้ไหลวนในระบบแอร์รถยนต์ โดยดูดสารทำความเย็นสถานะไอความดันต่ำจากตู้แอร์ และเพิ่มความดันเพื่อเปลี่ยนสถานะสารทำความเย็นเป็นไอความดันสูง ก่อนที่จะส่งต่อไปที่คอนเดนเซอร์ ปัญหาที่พบส่วนใหญ่ คอมเพรสเซอร์มีเสียงดัง