แอร์โรงงานอุตสาหกรรม กับ แอร์บ้าน ต่างกันอย่างไร
แอร์หรือระบบปรับอากาศ มีความสำคัญและจำเป็นต่อการใช้งานในอาคาร บ้านพัก การเก็บรักษาผลผลิต จำเป็นต่อโรงงานอุตสาหกรรม โรงงานผลิตอาหาร และองค์กรธุรกิจต่าง ๆ แอร์ที่นิยมใช้กันทั่วไปจึงมีหลายประเภทและหลายขนาด อีกทั้งการเลือกใช้แอร์หรือเครื่องปรับอากาศให้เหมาะกับประเภทการใช้งาน นอกจากการควบคุมอุณหภูมิภายในห้องยังช่วยประหยัดพลังงานอีกด้วย
แอร์โรงงานอุตสาหกรรม กับ แอร์บ้าน ต่างกันอย่างไร
แอร์หรือเครื่องปรับอากาศ สามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ แอร์ใช้สำหรับพื้นที่ทำความเย็นที่มีขนาดเล็ก เช่น ใช้ในห้อง บ้านพัก อาคาร ร้านค้า หรือสำนักงาน และแอร์ที่ใช้กับพื้นที่ทำความเย็นที่มีขนาดใหญ่ เช่น แอร์ห้าง หรือโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งคุณสมบัติของแอร์ และลักษณะการใช้งานก็จะแตกต่างกัน ดังนี้
- แอร์โรงงานอุตสาหกรรม
แอร์โรงงานอุตสาหกรรม หรือ แอร์ที่ใช้กับพื้นที่ทำความเย็นขนาดใหญ่ เป็นแอร์ที่มีระบบปรับอากาศขนาดใหญ่ โดยที่มีขนาด BTU มากกว่า 150,000 ส่วนใหญ่จะถูกใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ห้างสรรพสินค้าหรืออาคารขนาดใหญ่ ที่ต้องการชะลอคุณภาพของสินค้าหรือเครื่องจักรในโรงงานอุตสาหกรรม ดังนั้น แอร์อุตสาหกรรมจึงเป็นแอร์รุ่นที่ต้องอยู่ในการดูแลของพนักงานและวิศวกรเป็นพิเศษ ซึ่งจะแบ่งระบบเป็น 2 ประเภท ได้แก่
-
แอร์โรงงานอุตสาหกรรมรูปแบบระบายความร้อนด้วยน้ำ
เป็นระบบทำความเย็นหรือแอร์ที่มีขนาดใหญ่ และมีค่าใช้จ่ายสูง เนื่องจากต้องใช้กับพื้นที่ทำความเย็นขนาดใหญ่ ทำหน้าที่ผลิตความเย็นในรูปแบบก๊าซหรือไอเย็นความดันต่ำที่มีสภาเป็นไออิ่มตัวมาอัดอยู่ในคอมเพรสเซอร์ เพื่อถ่ายเทความร้อนให้แก่สารทำความเย็นจนมีสถานะเป็นของเหลวที่มีแรงดันสูง และนำมาลดแรงดันผ่านอุปกรณ์ลดแรงดัน ( Expansion Valve ) เพื่อฉีดของเหลวเข้าอีวาพอเรเตอร์ ( Evaporator ) จะทำให้สารทำความเย็นรับความร้อนจากการฉีดในรอบ ๆ นั้นกลายสภาพเป็นน้ำเย็นที่จะนำมาใช้ให้เกิดความเย็นภายในโรงงานอุตสาหกรรม ห้างสรรพสินค้า ที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่นั่นเอง
-
แอร์โรงงานอุตสาหกรรมรูปแบบระบายความร้อนด้วยอากาศ
เป็นระบบทำความเย็นหรือแอร์ขนาดเล็ก ใช้อากาศในการระบายความร้อน โดยการระบายความร้อนออกจากสารทำความเย็น และในระบบนี้จะต้องใช้ใบพัดลมจำนวนหลายชุด เหมาะสำหรับโรงงานที่มีพื้นที่ขนาดเล็กเพื่อทำความเย็น
- แอร์บ้าน
แอร์บ้าน หรือ แอร์ที่ใช้กับพื้นที่ทำความเย็นขนาดเล็ก ส่วนใหญ่เป็นแอร์ที่ถูกออกแบบระบบไฟฟ้าให้ใช้กันไฟบ้าน 220 VAC จะมีค่า BTU ไม่เกิน 50,000 BTU และเป็นเครื่องปรับอากาศแบบแยกส่วน เช่น
- แอร์ติดผนัง เป็นที่นิยมอย่างมากและมีให้เลือกลากหลายรูปแบบ อีกทั้ง BTU ก็มีให้เลือกตั้งแต่ 9,000 BTU ไปจนถึง 20,000 BTU จึงเหมาะกับการใช้ในบ้านมาก เช่นในห้องนอน ห้องนั่งเล่น หรือห้องรับแขก
- แอร์ตั้งแขวน เป็นแบบตั้งอยู่กับพื้น หรือแขวนอยู่ในระดับพื้นห้อง คุณสมบัติในการใช้งานควรวางในตำแหน่งที่สามารถกระจ่ายความเย็นได้อย่างทั่วถึง หลีกเลี่ยงการจัดวางไว้ในพื้นที่อับๆ เพราะจะไม่สามารถกระจ่ายอากาศได้ดี
- แอร์แบบฝังติดเพดาน เป็นรูปแบบแอร์ที่สามารถสร้างแอร์ฝั่งติดเพดาน ข้อดีคือตัวเครื่องไม่ยื่นออกมาเกะกะห้อง จึงเหมาะอย่างมากสำหรับบ้านสไตล์โมเดิร์น เน้นดีไซน์ ที่ไม่ต้องการแอร์เครื่องใหญ่ ๆ มาบดบังทัศนียภาพ
- แอร์ตู้ตั้ง มีลักษณะเป็นตู้สี่เหลี่ยมอาจไม่ค่อยเห็นใช้ในบ้านเท่าไหร่ เนื่องจากตู้มีขนาดใหญ่ จึงมักใช้ในพื้นที่ที่มีขนาดใหญ่ เช่นหอประชุม สนามบิน ร้านค้า ห้าง และอื่น ๆ
- แอร์แบบเคลื่อนที่ มีลักษณะเป็นแอร์ กึ่งพัดลม ที่สามารถเคลื่อนที่ได้ นิยมใช้ควบคู่กันไปกับแอร์หลักของบ้าน เพื่อเสริมการกระจายอากาศเย็น และถ่ายเทอากาศภายในห้อง ข้อดีของแอร์ชนิดนี้มีขนาดกะทัดรัด ไม่ต้องติดตั้ง แต่ใช้ได้กับห้องขนาดเล็ก BTU ต่ำ
แอร์หรือเครื่องปรับอากาศ แม้จะมีการแบ่งประเภท เป็นแอร์โรงงานอุตสาหกรรม กับ แอร์บ้าน เพื่อบ่งบอกลักษณะและคุณสมบัติในการใช้งานอย่างชัดเจน แต่ในการใช้ประโยชน์ไม่ว่าจะเป็นแอร์บ้านหรือแอร์สำหรับโรงงานอุตสาหกรรม ก็สามารถนำไปประยุกต์หรือปรับใช้ได้ตามความเหมาะสม
ถ้าหากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้สารทำความเย็นหรือน้ำยาแอร์ที่จะถูกใช้ในอนาคต หรือน้ำยาแอร์ที่จะถูกยกเลิกใช้ สามารถโทรติดต่อสอบถามข้อมูลและรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ น้ำยาแอร์ดอทคอม ศูนย์รวมน้ำยาแอร์ทุกชนิด ที่ Line : @namyaair หรือ โทร. 094-341-3124